ปุจฉา : ทำไมพวกท่านจึงไม่ยึดศาสนาผ่านบรรดาอะฮฺลุลบัยตฺซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับการสั่งเสียให้ยึดตามหลังจากท่านรอซูล(ศ็อลฯ)ได้เสียชีวิตไป แต่พวกท่านกลับไปยึดเอาคนอื่นๆ ดังนั้นหลักการศาสนาของพวกท่านจึงเป็นหลักการที่ขึ้นตรงกับพวกที่ไม่ใช่อะฮฺลุลบัยตฺ โดยเฉพาะบนีอุมัยยะฮฺซึ่งในหะดีษของพวกท่านไม่ว่าจะเป็น บุคอรีหรือมุสลิม กลับบรรจุไปด้วยสายรายงานที่ผ่านปากของอบูฮุร็อยเราะฮฺซึ่งเป็นผู้รายงานหะดีษต่างๆเพื่อเอาใจพวกบนีอุมัยยะฮฺ ดังนั้นจึงเป็นข้อสรุปได้อย่างชัดเจนแล้วว่าหลักการศาสนาของพวกท่านในทุกๆเรื่องไม่ว่าจะละหมาดหรือแม้กระทั่งเรื่องอากีดะฮฺ ล้วนแล้วแต่ถือตามคำสอนของพวกที่ไม่ใช่อะฮฺลุลบัยตฺทั้งสิ้น ซึ่งถือเป็นคำสอนที่ถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไขจากเดิมทั้งสิ้น
วิสัชนา : เรื่องราวของการยึดมั่นอยู่ในหนทางของบรรดาอะฮฺลุลบัยตฺนั้น แน่นอนบรรดาอะฮฺลุซซุนนะฮฺวัลญะมะอะฮฺ ไม่เคยคิดที่จะปฏิเสธการยึดตามพวกเขาเลย เพราะมันเป็นคำสั่งหนึ่งที่ถูกบัญชาแก่อุมมะฮฺมุสลิมทั้งปวง แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น การยึดมั่นในหนทางของบรรดาอะฮฺลุลบัยตฺ ไม่ได้กลายเป็น “เครื่องหมายทางการค้า” หรือ “ป้ายยี่ห้อ” สำหรับแนวทางของอะฮฺลุซซุนนะฮฺ วัลญะมะอะฮฺ ดังเช่นที่แนวรอฟิเดาะฮฺชอบใช้โฆษณากันว่าถือศาสนาผ่าน “อะฮฺลุลบัยตฺ” จนได้ยินได้เห็นกันอย่างติดตา แต่โดยเนื้อหาสาระเชิงลึกแล้วนั้นแนวทางของอะฮฺลุซซุนนะฮฺ วัลญะมะอะฮฺ นั้นยึดถือศาสนาผ่านอะฮฺลุลบัยตฺอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามภาพที่ออกมาจากแนวทางของอะฮฺลุซซุนนะฮฺ จะเป็นไปในเชิงของผู้ยึดตามบรรดาซอฮาบะฮฺเสียมากกว่า สาเหตุที่เป็นไปในเชิงนั้นเพราะบรรดาอุลามะอฺอะฮฺลุซซุนนะฮฺถือว่าบรรดาอะฮฺลุลบัยตฺก็เป็นหนึ่งในบรรดาซอฮาบะฮฺของท่านรอซูลซึ่งการตีวงกว้างเช่นนี้ก็เพราะว่าชาวอะฮฺลุซซุนนะฮฺไม่ได้กีดกันและละเลยต่อคุณงามความดีของบรรพชนอิสลามยุคแรกที่ไม่ใช่อะฮฺลุลบัยตฺ ดังนั้นจึงได้มีการสร้างแบรนด์หรือเครื่องหมายทางการค้าว่า ชาวอะฮฺลุซซุนนะฮฺดำเนินศาสนาผ่านบรรดาซอฮาบะฮฺ ซึ่งในที่นี้ก็ร่วมอะฮฺลุลบัยตฺไว้ด้วย มากกว่าการที่จะสร้างภาพว่ายึดตามอะฮฺลุลบัยตฺ เพราะถือว่าเป็นคำที่มีความหมายที่จำกัดบุคคลจากครอบครัวของท่านนบีไม่กี่คนเท่านั้น และนั้นคือภาพลวงตาง่ายๆที่คนเอาวามมักจะสับสนและหลุดไปเข้ารีตเป็นรอฟิเดาะฮฺเสียมาก เพราะชาวรอฟิเดาะฮฺนิยมยัดเยียดภาพลวงตาว่า ซุนนีตามซอฮาบะฮฺ ส่วนชีอะฮฺตามอะฮฺลุลบัยตฺ ซึ่งตามหลักจิตวิทยาพื้นฐานแล้วนั้นเครดิตหรือความน่าเชื่อถือย่อมตกอยู่กับฝ่ายรอฟิเดาะฮฺอย่างแน่นอน เพราะบุคคลที่ตามคนในครอบครัวของท่านนบีย่อมน่าเชื่อถือกว่าคนนอกบ้านอยู่แล้ว แต่!! จะสลักสำคัญอะไรเล่าแม้นว่าชาวอะฮฺลุซซุนนะฮฺ จะมิได้สร้างเครื่องหมายทางการค้าว่าตามอะฮฺลุลบัยตฺ หากในเมื่อความจริงพวกเขาดำเนินตามเป็นอย่างยิ่ง อุปมาจุดยืนของชาวซุนนีต่ออะฮฺลุลบัยตฺก็อุปมัยดั่งจุดยืนของชาวคริสต์เตียนที่มีต่อนบีอีซา แม้ว่าคนทั้งโลกจะมองกันว่าชาวคริสต์เตียนคือผู้ตามนบีอีซาแต่คนที่ศึกษาอย่างแท้จริงย่อมรู้ดีว่าผู้ที่ยึดตามคำสอนของนบีอีซาอย่างแท้จริงก็คือชาวมุสลิม เพราะนบีอีซาไม่เคยสอนหลักการเรื่องตรีเอกานุภาพ และเช่นกันอะฮฺลุลบัยตฺก็ไม่เคยสอนว่าอัลกุรอานถูกบิดเบือน บรรดาซอฮาบะฮฺเป็นกาเฟรเหลือแค่สามคน รูกุ่นอีมานมี 5 ประการ เป็นต้น!!! สำหรับเรื่องราวของคำกล่าวหาที่ว่าชาวซุนนีถือศาสนาผ่านลมปากจากอบูฮุร็อยเราะฮฺซึ่งรายงานหะดีษเพื่อประจบสอพลอบนีอุมัยยะฮฺนั้นท่านสามารถอ่านคำตอบโต้เรื่องเหลวไหลพวกนี้ได้ที่ลิงค์นี้
คลิก
สิ่งที่จะหักล้างข้อกล่าวหาตื้นๆที่รอฟิเดาะฮฺมีต่อท่านอบูฮุร็อยเราะฮฺนั้นเราแค่ยกเพียงหะดีษที่ท่านอบูฮุร็อยเราะฮฺรายงานว่า ท่านฮุซัยนฺคือหัวหน้าชายชาวสวรรค์ (บันทึกโดยบุคอรี) ท่านว่าคนแบบนี้คือผู้ประจบสอพลอต่อบนีอุมัยยะฮฺงั้นเหรอ ?
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ข้าพเจ้าจะขอท้าพิสูจน์กับผู้ถามตลอดจนชีอะฮฺทั่วโลกก็คือระหว่างรอฟิเดาะฮฺกับซุนนีใครกันแน่ที่ยึดตามอะฮฺลุลบัยตฺ ? แน่นอนการยึดตามอะฮฺลุลบัยตฺไม่ใช่เพียงแค่มาแสดงออกแค่ลมปากว่ายึดตามๆๆ เท่านั้น มันจะต้องมีการพิสูจน์ที่เป็นรูปธรรม กล่าวคือพิสูจน์กันจากตำราขั้นมูลฐานระหว่างซุนนีกับรอฟิเดาะฮฺ สาเหตุที่ต้องพิสูจน์กันจากตำราก็เพราะว่า ทุกวันนี้นั้นบรรดาอะฮฺลุลบัยตฺ ไม่มีแม้แต่ท่านเดียวที่ยังคงหลงเหลือและมีชีวิตในยุคสมัยเราแล้ว พวกท่านเหล่านั้นล้วนกลับไปสู่ความเมตตาของพระองค์อัลลอฮฺหมดแล้ว ดังนั้นจึงมีแต่เพียงคำสอนของพวกท่านเหล่านั้นที่จะให้พวกเรายึดตามไว้ และนี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมเราต้องพิสูจน์กันจากตำราขั้นปฐมภูมิของทั้งสองแนวทางเพราะตำราคือสิ่งที่คอยบันทึกริวายัตหรือการรายงานหะดีษตลอดจนคำสอนของท่านเหล่านั้น สำหรับตำราขั้นปฐมภูมิของชาวซุนนีนั้นคือ ซอเฮี๊ยฮฺ บุคอรีและมุสลิม และสุนันต่างๆ ส่วนตำราขั้นปฐมภูมิของรอฟิเดาะฮฺนั้นคือ อัลกาฟีย์ ของอัลกุลัยนี ซึ่งเป็นตำราที่ชัยคฺ อับดุลฮุเซน กล่าวรับรองไว้ใน กิตาบุลมุรอญะอาต ว่า “ยิ่งใหญ่ เก่าแก่ และถูกต้องมากที่สุดแล้วสำหรับชีอะฮฺ” (กรุณาดู ในมุรอญะอาตที่ 110) หรืออย่างที่เชคมุฟีด อุลามะอฺนามระบือของโลกชีอะฮฺได้กล่าวไว้ว่า “อัล-กาฟีย์อยู่ในฐานะหนังสือที่ดีเยี่ยมที่สุดของชีอะฮฺและมีประโยชน์มากที่สุด” เมื่อเราได้ทราบกฎเกณฑ์และกติกาในการพิสูจน์แล้วดังนั้นเราจึงควรมาสำรวจดูสายรายงานของทั้งสองแนวจากตำราของทั้งสองฝ่ายว่าใครกันแน่ที่มีริวายัตจากอะฮฺลุลบัยตฺมากกว่ากัน
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ข้าพเจ้าจะขอท้าพิสูจน์กับผู้ถามตลอดจนชีอะฮฺทั่วโลกก็คือระหว่างรอฟิเดาะฮฺกับซุนนีใครกันแน่ที่ยึดตามอะฮฺลุลบัยตฺ ? แน่นอนการยึดตามอะฮฺลุลบัยตฺไม่ใช่เพียงแค่มาแสดงออกแค่ลมปากว่ายึดตามๆๆ เท่านั้น มันจะต้องมีการพิสูจน์ที่เป็นรูปธรรม กล่าวคือพิสูจน์กันจากตำราขั้นมูลฐานระหว่างซุนนีกับรอฟิเดาะฮฺ สาเหตุที่ต้องพิสูจน์กันจากตำราก็เพราะว่า ทุกวันนี้นั้นบรรดาอะฮฺลุลบัยตฺ ไม่มีแม้แต่ท่านเดียวที่ยังคงหลงเหลือและมีชีวิตในยุคสมัยเราแล้ว พวกท่านเหล่านั้นล้วนกลับไปสู่ความเมตตาของพระองค์อัลลอฮฺหมดแล้ว ดังนั้นจึงมีแต่เพียงคำสอนของพวกท่านเหล่านั้นที่จะให้พวกเรายึดตามไว้ และนี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมเราต้องพิสูจน์กันจากตำราขั้นปฐมภูมิของทั้งสองแนวทางเพราะตำราคือสิ่งที่คอยบันทึกริวายัตหรือการรายงานหะดีษตลอดจนคำสอนของท่านเหล่านั้น สำหรับตำราขั้นปฐมภูมิของชาวซุนนีนั้นคือ ซอเฮี๊ยฮฺ บุคอรีและมุสลิม และสุนันต่างๆ ส่วนตำราขั้นปฐมภูมิของรอฟิเดาะฮฺนั้นคือ อัลกาฟีย์ ของอัลกุลัยนี ซึ่งเป็นตำราที่ชัยคฺ อับดุลฮุเซน กล่าวรับรองไว้ใน กิตาบุลมุรอญะอาต ว่า “ยิ่งใหญ่ เก่าแก่ และถูกต้องมากที่สุดแล้วสำหรับชีอะฮฺ” (กรุณาดู ในมุรอญะอาตที่ 110) หรืออย่างที่เชคมุฟีด อุลามะอฺนามระบือของโลกชีอะฮฺได้กล่าวไว้ว่า “อัล-กาฟีย์อยู่ในฐานะหนังสือที่ดีเยี่ยมที่สุดของชีอะฮฺและมีประโยชน์มากที่สุด” เมื่อเราได้ทราบกฎเกณฑ์และกติกาในการพิสูจน์แล้วดังนั้นเราจึงควรมาสำรวจดูสายรายงานของทั้งสองแนวจากตำราของทั้งสองฝ่ายว่าใครกันแน่ที่มีริวายัตจากอะฮฺลุลบัยตฺมากกว่ากัน
ริวายัต(รายงานหะดีษ) จากท่านอิมามอะลี อิบนฺ อบีฏอลิบ
ซุนนี
ชาวรอฟิเดาะฮฺมักจะสร้างแบรนด์แก่ตนเองว่าเป็นผู้ดำเนินตามท่านอิมามอะลีเสมอมาอย่างไรก็ตาม ในทางรูปธรรมแล้วชาวซุนนีต่างหากที่ยึดมั่นอยู่ในคำสอนของอิมามอะลียิ่งกว่าชาวรอฟิเดาะฮฺ ในซอเฮี๊ยฮฺบุคอรี ริวายัตจากท่านอิมามอะลีในรูปแบบที่สะนัดซ้ำกันรวมทั้งสิ้น มี 98 ริวายัต และแบบที่ไม่ซ้ำกันมีทั้งสิ้น 34 ริวายัต และริวายัตจากท่านอิมามอะลีในซอเฮี๊ยฮฺ มุสลิม มีทั้งสิ้น 38 ริวายัต ดังนั้นผลรวมทั้งสิ้นจากริวายัตของท่านอิมามอะลีในตำราของซุนนีคือ 72 ริวายัต เมื่อเราพิจารณาดูอัตราของสายรายงานจากท่านอิมามอะลีในตำราของซุนนีเราจะพบสิ่งที่น่าเหลือเชื่อว่ามันมากกว่าริวายัติของท่านอบูบักร อุมัรและอุสมานด้วยซ้ำไป !!! ดังนั้นข้อกล่าวหาที่ชาวรอฟิเดาะฮฺพยายามที่จะยัดเยียดแก่ชาวซุนนีว่าไม่ดำเนินตามทางของท่านอิมามอะลีและอะฮฺลุลบัยตฺ แต่กลับไปยึดตามทางของสามคอลีฟะฮฺ ท่านว่ามันสมเหตุสมผลหรือไม่? และการที่ชาวซุนนีมีคำสอนจากท่านอิมามอะลีมากกว่าท่านอบูบักร อุมัร และอุสมาน ชาวรอฟิเดาะฮฺยังคิดที่จะยัดเยียดความเป็นศัตรูต่อท่านอิมามอะลีแก่ชาวซุนนีอีกเหรอ? เป็นไปได้อย่างไร?
ชาวรอฟิเดาะฮฺมักจะสร้างแบรนด์แก่ตนเองว่าเป็นผู้ดำเนินตามท่านอิมามอะลีเสมอมาอย่างไรก็ตาม ในทางรูปธรรมแล้วชาวซุนนีต่างหากที่ยึดมั่นอยู่ในคำสอนของอิมามอะลียิ่งกว่าชาวรอฟิเดาะฮฺ ในซอเฮี๊ยฮฺบุคอรี ริวายัตจากท่านอิมามอะลีในรูปแบบที่สะนัดซ้ำกันรวมทั้งสิ้น มี 98 ริวายัต และแบบที่ไม่ซ้ำกันมีทั้งสิ้น 34 ริวายัต และริวายัตจากท่านอิมามอะลีในซอเฮี๊ยฮฺ มุสลิม มีทั้งสิ้น 38 ริวายัต ดังนั้นผลรวมทั้งสิ้นจากริวายัตของท่านอิมามอะลีในตำราของซุนนีคือ 72 ริวายัต เมื่อเราพิจารณาดูอัตราของสายรายงานจากท่านอิมามอะลีในตำราของซุนนีเราจะพบสิ่งที่น่าเหลือเชื่อว่ามันมากกว่าริวายัติของท่านอบูบักร อุมัรและอุสมานด้วยซ้ำไป !!! ดังนั้นข้อกล่าวหาที่ชาวรอฟิเดาะฮฺพยายามที่จะยัดเยียดแก่ชาวซุนนีว่าไม่ดำเนินตามทางของท่านอิมามอะลีและอะฮฺลุลบัยตฺ แต่กลับไปยึดตามทางของสามคอลีฟะฮฺ ท่านว่ามันสมเหตุสมผลหรือไม่? และการที่ชาวซุนนีมีคำสอนจากท่านอิมามอะลีมากกว่าท่านอบูบักร อุมัร และอุสมาน ชาวรอฟิเดาะฮฺยังคิดที่จะยัดเยียดความเป็นศัตรูต่อท่านอิมามอะลีแก่ชาวซุนนีอีกเหรอ? เป็นไปได้อย่างไร?
รอฟิเดาะฮฺ
เมื่อเราทำการตรวจสอบริวายัติที่รายงานจากท่านอิมามอะลีในตำราของชาวรอฟิเดาะฮฺที่ชื่ออัลกาฟีย์ เราจะพบว่ามันมีริวายัติจากท่านอิมามอะลีเพียง 66 ตัวบทเท่านั้น!!! ซึ่งไม่น่าเชื่อเลยกว่าจะน้อยกว่าริวายัติจากชาวซุนนีที่มีถึง 72 ตัวบทเสียอีก!!! และอย่าลืมว่าริวายัติที่ปรากฏจากท่านอิมามอะลีที่มี 66 ตัวบทในหนังสืออัลกะฟีย์นั้น ยังไม่ได้นับแยกจากรายงานฎออีฟ หรือมัวฎุอฺ(ปลอม) ด้วยซ้ำไป!!! เพราะอย่าลืมว่า 2 ใน 3 ของริวายัติเหล่านั้นล้วนแล้วแต่ขาดความน่าเชื่อถือและถูกอุปโลกน์ทั้งสิ้น (กรุณาดูหนังสือ มะษอดิรุลหะดีษ อินดัชชีอะฮฺอิมามียะฮฺ ของเชคมุฮัมมัด ฮุเซน อันญะลาลีย์ นักหะดีษของชีอะฮฺที่ระบุว่าในอัลกาฟีย์มีหะดีษปลอมถึง 9485 หะดีษ!!) ดังนั้นหากเราชั่งใจและเดาเอาว่าหะดีษที่ซอเฮี๊ยฮฺและถูกรายงานจากอิมามอะลีในอัลกะฟีย์จะเหลือเพียงกี่บท และชีอะฮฺจะปฏิบัติตามท่านอิมามอะลีได้เพียงกี่เปอร์เซ็น!!!!!!! และใครกันแน่ที่ยึดถือและดำเนินตามท่านอิมามอะลีอย่างแท้จริงและเป็นรูปธรรมและใครกันแน่ที่แอบอ้าง และใครกันแน่คือชีอะฮฺของอะลีที่แท้จริง!!!!
ริวายัติจากท่านหญิงฟาตีมะฮฺ
ซุนนี
เมื่อเราทำการตรวจสอบถึงริวายัติที่ถูกรายงานจากท่านหญิงฟาตีมะฮในตำราของชาวซุนนี เราจะพบว่ามันมีเพียงแค่ 1 ริวายัติเท่านั้น ซึ่งปรากฏอยู่ในซอเฮี๊ยฮฺบุคอรี หมายเลขหะดีษที่ 4462
รอฟิเดาะฮฺ
สิ่งที่น่าทึ่งก็คือเมื่อเรากลับไปควานหาริวายัติจากท่านหญิงฟาตีมะฮฺ ในตำราอัลกะฟีย์ ซึ่งมีทั้งสิ้น 8 เล่ม และมีหะดีษทั้งหมด 16,121 หะดีษ เรากลับไม่พบหะดีษจากท่านหญิงฟาตีมะฮฺเลยแม้แต่หะดีษเดียว!!!! ผลรวมของริวายัติจากท่านหญิงฟาตีมะฮฺในตำราของพวกรอฟิเดาะฮฺคือ 0 ครับ!!!???? เป็นที่น่าเศร้าสำหรับกลุ่มที่อ้างตนว่ารักในท่านหญิงฟาตีมะฮฺแต่กลับไม่มีรายงานหะดีษแม้แต่บทเดียว ดังนั้นในกันแน่ที่ละเลยต่อท่านหญิงฟาตีมะฮฺอย่างอธรรม
ซุนนี
เมื่อเราทำการตรวจสอบถึงริวายัติที่ถูกรายงานจากท่านหญิงฟาตีมะฮในตำราของชาวซุนนี เราจะพบว่ามันมีเพียงแค่ 1 ริวายัติเท่านั้น ซึ่งปรากฏอยู่ในซอเฮี๊ยฮฺบุคอรี หมายเลขหะดีษที่ 4462
รอฟิเดาะฮฺ
สิ่งที่น่าทึ่งก็คือเมื่อเรากลับไปควานหาริวายัติจากท่านหญิงฟาตีมะฮฺ ในตำราอัลกะฟีย์ ซึ่งมีทั้งสิ้น 8 เล่ม และมีหะดีษทั้งหมด 16,121 หะดีษ เรากลับไม่พบหะดีษจากท่านหญิงฟาตีมะฮฺเลยแม้แต่หะดีษเดียว!!!! ผลรวมของริวายัติจากท่านหญิงฟาตีมะฮฺในตำราของพวกรอฟิเดาะฮฺคือ 0 ครับ!!!???? เป็นที่น่าเศร้าสำหรับกลุ่มที่อ้างตนว่ารักในท่านหญิงฟาตีมะฮฺแต่กลับไม่มีรายงานหะดีษแม้แต่บทเดียว ดังนั้นในกันแน่ที่ละเลยต่อท่านหญิงฟาตีมะฮฺอย่างอธรรม
ริวายัติจากท่านอิมามฮุซัยนฺ
ซุนนี
ริวายัตจากท่านอิมามฮุเซน มีทั้งสิ้นในตำราของฝ่ายซุนนีคือ 4 ริวายัติ ซึ่งปรากฏอยู่ในซอเฮี๊ยฮฺบุคอรีและมุสลิม ในบุคอรีปรากฏอยู่ใน หมายเลขที่ 1127 และหมายเลข 3091 ในมุสลิมก็บันทึกคล้ายกัน
รอฟิเดาะฮฺ
ในตำราอัลกาฟีย์ ปรากฏริวายัติจากท่านอิมามฮุซัยนฺเพียงแค่ 1 ริวายัติเท่านั้น และของอิมามหะซันก็แค่ 1 ริวายัติเช่นกัน รวมแล้วเป็น 2 ซึ่งน้อยกว่าของซุนนีด้วยซ้ำ!!!! ไม่สมกับที่มานั่งเขกกะบาลจนเลือดไหลในวันอาชูรอเลย
เพียงแค่อะฮฺลุลบัยตฺทั้งสี่ท่านที่เราได้นำเสนอมาก็เพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์อย่างเป็นรูปธรรมว่าใครกันแน่ที่ดำเนินอยู่บนทางของอะฮฺลุลบัยตฺ และใครกันแน่ที่แอบอ้าง!!!!
ซุนนี
ริวายัตจากท่านอิมามฮุเซน มีทั้งสิ้นในตำราของฝ่ายซุนนีคือ 4 ริวายัติ ซึ่งปรากฏอยู่ในซอเฮี๊ยฮฺบุคอรีและมุสลิม ในบุคอรีปรากฏอยู่ใน หมายเลขที่ 1127 และหมายเลข 3091 ในมุสลิมก็บันทึกคล้ายกัน
รอฟิเดาะฮฺ
ในตำราอัลกาฟีย์ ปรากฏริวายัติจากท่านอิมามฮุซัยนฺเพียงแค่ 1 ริวายัติเท่านั้น และของอิมามหะซันก็แค่ 1 ริวายัติเช่นกัน รวมแล้วเป็น 2 ซึ่งน้อยกว่าของซุนนีด้วยซ้ำ!!!! ไม่สมกับที่มานั่งเขกกะบาลจนเลือดไหลในวันอาชูรอเลย
เพียงแค่อะฮฺลุลบัยตฺทั้งสี่ท่านที่เราได้นำเสนอมาก็เพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์อย่างเป็นรูปธรรมว่าใครกันแน่ที่ดำเนินอยู่บนทางของอะฮฺลุลบัยตฺ และใครกันแน่ที่แอบอ้าง!!!!
เหลือบดูอิมามท่านอื่นๆกันบ้าง
ชาวซุนนีนั้นมีข้อบกพร่องอย่างหนึ่งคือไม่ได้สร้างเครื่องหมายทางการค้าว่าตามอะฮฺลุลบัยตฺ ดังที่ชาวรอฟิเดาะฮฺมักจะอ้างกันอยู่เสมอ ดังนั้นชื่อของ อิมามบากิรและอิมามญะอฺฟัร อาจจะไม่ค่อยเป็นที่รู้จักกันเท่าไหร่ในหมู่คนเอาวามชาวอะฮฺลุซซุนนะฮฺ วัลญะมะอะฮฺ แต่สำหรับนักหะดีษ ย่อมเคยผ่านตาชื่อของอิมามบากิรอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามเมื่อเรากลับไปค้นดูริวายัตจากท่านอิมามบากิร เราจะพบว่าริวายัติจากท่านอิมามบากิรในตำราของชาวซุนนีปรากฏมากกว่าริวายัติของท่านอบูบักรด้วยซ้ำ!!!! ท่านอบูบักรแม้ว่าชาวซุนนีจะมองว่าเป็นบุรุษที่ประเสริฐที่สุดในแง่ของคุณธรรมและเกียรติยศรองจากท่านนบี แต่หากเปรียบเทียบริวายัติจากท่านอบูบักรแล้วกลับมีน้อยกว่าอิมามบากิรเสียอีก ดังนั้นภาพลวงตาที่รอฟิเดาะฮฺมักจะสร้างว่าชาวซุนนีทอดทิ้งอะฮฺลุลบัยตฺ และกลับไปยึดถือเอาอบูบักรอย่างเดียว ย่อมถือเป็นคำพูดอันโง่เขลาจากอุลามะอฺของฝ่ายรอฟิเดาะฮฺเอง ในซอเฮี๊ยฮฺบุคอรีทั้ง 9 เล่ม มีริวายัติที่ปรากฏชื่ออิมามบากิรในสะนัดมากถึง 240 ริวายัติ !!!!!
ในซอเฮี๊ยฮฺ มุสลิม ปรากฏริวายัติจากท่านอิมามบากิรถึง 19 ริวายัติ ในทางตรงกันข้ามริวายัติของท่านอบูบักร อัศศิกดีก มีแค่ 9 ริวายัติเท่านั้น!!! นี่ยังไม่นับในสุนันอันนาซาอีย์ ที่ปรากฏริวายัติจากท่านอิมามบากิรถึง 56 ริวายัติ แต่ในทางกลับกันในสุนันนาซาอีมีริวายัติของท่านอบูบักรเพียงแค่ 22 ริวายัติเท่านั้น!!!!!! อย่างไรก็ตามรอฟิเดาะฮฺอาจจะอ้างว่า ริวายัติจากอิมามบากิร ในตำราอัลกาฟีย์ นั้นก็มีอยู่มาก แต่รอฟิเดาะฮฺต้องไม่ลืมว่า ในอัลกาฟีย์ มีหะดีษทั้งสิ้น 16,121 ฮะดีษ แต่ตามที่ ชัยคฺ ญะอฺฟัร อัศซุบฮานี นักหะดิษคนสำคัญของรอฟิเดาะฮฺในยุคปัจจุบันตัดสินแล้วว่า ในอัลกาฟีย์นั้นมีหะดีษปลอมและอ่อนถึง 9,485 ฮะดีษ ซึ่งคิดเป็น 2 ใน 3 ของอัลกาฟีย์เลยก็ว่าได้ ดังนั้นหะดีษที่ริวายัติมาจากอิมามบากิรในอัลกาฟีย์ จะเหลือที่ใช้ได้จริงๆเท่าไหร่!!! เพราะหากท่านไปตรวจค้นดูในอัลกาฟีย์ ริวายัติที่รายงานจากท่านอิมามบากิรล้วนเป็นเรื่องเหลวไหลทั้งสิ้น ยกตัวอย่าง
ชาวซุนนีนั้นมีข้อบกพร่องอย่างหนึ่งคือไม่ได้สร้างเครื่องหมายทางการค้าว่าตามอะฮฺลุลบัยตฺ ดังที่ชาวรอฟิเดาะฮฺมักจะอ้างกันอยู่เสมอ ดังนั้นชื่อของ อิมามบากิรและอิมามญะอฺฟัร อาจจะไม่ค่อยเป็นที่รู้จักกันเท่าไหร่ในหมู่คนเอาวามชาวอะฮฺลุซซุนนะฮฺ วัลญะมะอะฮฺ แต่สำหรับนักหะดีษ ย่อมเคยผ่านตาชื่อของอิมามบากิรอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามเมื่อเรากลับไปค้นดูริวายัตจากท่านอิมามบากิร เราจะพบว่าริวายัติจากท่านอิมามบากิรในตำราของชาวซุนนีปรากฏมากกว่าริวายัติของท่านอบูบักรด้วยซ้ำ!!!! ท่านอบูบักรแม้ว่าชาวซุนนีจะมองว่าเป็นบุรุษที่ประเสริฐที่สุดในแง่ของคุณธรรมและเกียรติยศรองจากท่านนบี แต่หากเปรียบเทียบริวายัติจากท่านอบูบักรแล้วกลับมีน้อยกว่าอิมามบากิรเสียอีก ดังนั้นภาพลวงตาที่รอฟิเดาะฮฺมักจะสร้างว่าชาวซุนนีทอดทิ้งอะฮฺลุลบัยตฺ และกลับไปยึดถือเอาอบูบักรอย่างเดียว ย่อมถือเป็นคำพูดอันโง่เขลาจากอุลามะอฺของฝ่ายรอฟิเดาะฮฺเอง ในซอเฮี๊ยฮฺบุคอรีทั้ง 9 เล่ม มีริวายัติที่ปรากฏชื่ออิมามบากิรในสะนัดมากถึง 240 ริวายัติ !!!!!
ในซอเฮี๊ยฮฺ มุสลิม ปรากฏริวายัติจากท่านอิมามบากิรถึง 19 ริวายัติ ในทางตรงกันข้ามริวายัติของท่านอบูบักร อัศศิกดีก มีแค่ 9 ริวายัติเท่านั้น!!! นี่ยังไม่นับในสุนันอันนาซาอีย์ ที่ปรากฏริวายัติจากท่านอิมามบากิรถึง 56 ริวายัติ แต่ในทางกลับกันในสุนันนาซาอีมีริวายัติของท่านอบูบักรเพียงแค่ 22 ริวายัติเท่านั้น!!!!!! อย่างไรก็ตามรอฟิเดาะฮฺอาจจะอ้างว่า ริวายัติจากอิมามบากิร ในตำราอัลกาฟีย์ นั้นก็มีอยู่มาก แต่รอฟิเดาะฮฺต้องไม่ลืมว่า ในอัลกาฟีย์ มีหะดีษทั้งสิ้น 16,121 ฮะดีษ แต่ตามที่ ชัยคฺ ญะอฺฟัร อัศซุบฮานี นักหะดิษคนสำคัญของรอฟิเดาะฮฺในยุคปัจจุบันตัดสินแล้วว่า ในอัลกาฟีย์นั้นมีหะดีษปลอมและอ่อนถึง 9,485 ฮะดีษ ซึ่งคิดเป็น 2 ใน 3 ของอัลกาฟีย์เลยก็ว่าได้ ดังนั้นหะดีษที่ริวายัติมาจากอิมามบากิรในอัลกาฟีย์ จะเหลือที่ใช้ได้จริงๆเท่าไหร่!!! เพราะหากท่านไปตรวจค้นดูในอัลกาฟีย์ ริวายัติที่รายงานจากท่านอิมามบากิรล้วนเป็นเรื่องเหลวไหลทั้งสิ้น ยกตัวอย่าง
มูฮัมหมัด บินยะอ์กู๊บ อัลกุลัยนี่ เจ้าของตำราฮะดีษขนานเอกของชีอะฮ์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือของเขาชื่อ “อุศูลุ้ลกาฟีย์” ภายใต้หัวข้อเรื่อง “ไม่มีผู้ใดรวมฮะดีษไว้ทั้งหมดนอกจากบรรดาอิหม่าม” ว่า
عن جابر قال سمعت أبا جعفر يقول ما أدعى أحد من الناس أنه جمع القرآن كله كما أنزل الله
الا كذاب وما جمعه وحفظه كما أنزل الله الا علي بن أبي طالب والأئمة من بعده
“รายงานจากญาบิรว่า ฉันเคยได้ยินอบาญะอ์ฟัรได้กล่าวว่า ไม่มีผู้ใดในมวลมนุษย์ที่อ้างว่าเขารวยรวมอัลกุรอานไว้ทั้งหมดดังที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานมา นอกจากเขาเป็นคนโกหก และไม่มีผู้ใดรวมและจดจำอัลกุรอานดังที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานมา นอกจากอาลี บินอบีตอลิบและบรรดาอิหม่ามหลังจากเขาเท่านั้น” จากอุศูลุ้ลกาฟี ของอัลกุลัยนี่ 1/284
عن جابر عن أبي جعفر عليه السلام أنه قال ما يستطيع أحد أن يدعي أن عنده القرآن ظاهره وباطنه غير الأوصياء
รายงานจากญาบิร จากอบีญะอ์ฟัร อลัยฮิสสลาม ได้กล่าวว่า ไม่มีผู้ใดสามารถอ้างว่าเขามีอัลกุรอานทั้งอักษรและความหมายนอกจากบรรดาวะซีย์ (ผู้ที่ได้รับการสั่งเสียให้ดำรงตำแหน่งอิหม่ามหลังจากท่านนบีสืบต่อมา) เท่านั้น” จากอุศูลุ้ลกาฟี ของอัลกุลัยนี่ 1/285
عن هشام بي سالم عن أبى عبد الله عليه السلام قال ان القرآن الذي جاء به جبريل عليه السلام
الي محمد صلى الله عليه وسلم سبعة عشر ألف آية
“จากฮุซาม บิน ซาเล็ม จากอบีอับดิลลาฮ์ อลัยฮิสสลาม ได้กล่าวว่า แท้จริงอัลกุรอานที่ญิบรีล อลัยฮิสสลาม ได้นำมาให้แก่ท่านนบีมูฮัมหมัด ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัมนั้น มีทั้งหมดหนึ่งหมื่นเจ็ดพันอายะห์” จากอุศูลุ้ลกาฟี ของอัลกุลัยนี่ 2/634
الا كذاب وما جمعه وحفظه كما أنزل الله الا علي بن أبي طالب والأئمة من بعده
“รายงานจากญาบิรว่า ฉันเคยได้ยินอบาญะอ์ฟัรได้กล่าวว่า ไม่มีผู้ใดในมวลมนุษย์ที่อ้างว่าเขารวยรวมอัลกุรอานไว้ทั้งหมดดังที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานมา นอกจากเขาเป็นคนโกหก และไม่มีผู้ใดรวมและจดจำอัลกุรอานดังที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานมา นอกจากอาลี บินอบีตอลิบและบรรดาอิหม่ามหลังจากเขาเท่านั้น” จากอุศูลุ้ลกาฟี ของอัลกุลัยนี่ 1/284
عن جابر عن أبي جعفر عليه السلام أنه قال ما يستطيع أحد أن يدعي أن عنده القرآن ظاهره وباطنه غير الأوصياء
รายงานจากญาบิร จากอบีญะอ์ฟัร อลัยฮิสสลาม ได้กล่าวว่า ไม่มีผู้ใดสามารถอ้างว่าเขามีอัลกุรอานทั้งอักษรและความหมายนอกจากบรรดาวะซีย์ (ผู้ที่ได้รับการสั่งเสียให้ดำรงตำแหน่งอิหม่ามหลังจากท่านนบีสืบต่อมา) เท่านั้น” จากอุศูลุ้ลกาฟี ของอัลกุลัยนี่ 1/285
عن هشام بي سالم عن أبى عبد الله عليه السلام قال ان القرآن الذي جاء به جبريل عليه السلام
الي محمد صلى الله عليه وسلم سبعة عشر ألف آية
“จากฮุซาม บิน ซาเล็ม จากอบีอับดิลลาฮ์ อลัยฮิสสลาม ได้กล่าวว่า แท้จริงอัลกุรอานที่ญิบรีล อลัยฮิสสลาม ได้นำมาให้แก่ท่านนบีมูฮัมหมัด ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัมนั้น มีทั้งหมดหนึ่งหมื่นเจ็ดพันอายะห์” จากอุศูลุ้ลกาฟี ของอัลกุลัยนี่ 2/634
ในส่วนของอิมามญะอฺฟัร อัศศอดิก นั้น ในซอเฮี๊ยฮฺบุคอรีทั้ง 9 เล่ม มีริวายัติที่ปรากฏชื่ออิมามญะอฺฟัรในสะนัดมากถึง143 ริวายัติ !!!!! นี่ยังไม่นับถึงการที่อิมามมาลิกเจ้าของมัสฮับมาลีกีย์ ได้เคยร่ำเรียนและเป็นลูกศิษย์ของท่านญะอฺฟัร ด้วยซ้ำ และอิมามฮัมบาลีและชาฟีอี ต่างก็เป็นลูกศิษย์ของอิมามมาลิกอีกทอดหนึ่ง ในขณะที่นักฟิกฮ์ของชีอะฮฺไม่มีสักคนที่เป็นลูกศิษย์ของท่านญะอฺฟัรจริงๆ!!!! แม้กระทั่งกุลัยนี่เองก็ตาม!!!
จากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้นั้น ย่อมเป็นเครื่องพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีว่าชาวอะฮฺลุซซุนนะฮฺ วัลญะมะอะฮฺต่างหากที่ดำเนินอยู่บนหลักการของอะฮฺลุลบัยตฺในเปลือกในอย่างแท้จริง หาใช่เหมือนรอฟิเดาะฮฺที่แสร้งทำตัวว่าตามอะฮฺลุลบัยตฺแต่กลับพิสูจน์อย่างเป็นรูปธรรมมิได้ และหาที่ลงไม่เจอ!!!
ชาวซุนนีรู้จักอะฮฺลุลบัยตฺดีกว่าชาวรอฟิเดาะฮฺ!!!
ชาวรอฟิเดาะฮฺนั้นมักจะกีดกันคนอื่นๆที่ไม่เกี่ยวข้องกับท่านอะลีออกไปเสียจากตำแหน่งอะฮฺลุลบัยตฺ หรือแม้แต่ลูกของท่านอะลีที่มิได้เกิดจากท่านหญิงฟาตีมะฮฺชีอะฮฺก็ตัดทิ้งไปเสียหมด จนอะฮฺลุลบัยตฺในแบบฉบับชาวชีอะฮฺทั้งโลกเหลือเพียงไม่กี่คน เมื่อเรากล่าวว่าภรรยาของนบีก็คืออะฮฺลุลบัยตฺ ชาวรอฟิเดาะฮฺก็มักจะเถียงหัวชนฝา ทั้งๆที่การนับภรรยาของนบีเป็นอะฮฺลุลบัยตฺนั้นคือการนับแบบอัลกุรอานด้วยซ้ำ
เช่น เหตุการณ์ที่พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงกล่าวถึง ซาเราะห์ภรรยาของนบีอิบรอฮีม อลัยฮิสสลาม ที่ตกตะลึงเมื่อทราบข่าวว่าจะมีบุตร ขณะที่ตัวนางเองก็อายุมากแล้ว อีกทั้งนบีอิบรอฮีมก็แก่หง่อมอีกด้วย แต่มะลาอิกะห์ที่พระองค์อัลลอฮ์ให้มาแจ้งข่าวได้กล่าวแก่นางว่า
أَتَعْجَبِيْنَ مِنْ أَمْرِ اللهِ رَحْمَتُ اللهِ وَبَرَكاَتُهُ عَليْكُمْ أَهْلَ البَيْتِ
“เธอแปลกใจต่อบัญชาของอัลลอฮ์หรือ ความเมตตาและความจำเริญของพระองค์จงประสบแด่นางซาเราะฮฺ อะฮฺลุลบัยตฺของนบี (อิบรอฮีม) ซูเราะห์ฮุด อายะห์ที่ 73
ชาวซุนนีรู้จักอะฮฺลุลบัยตฺดีกว่าชาวรอฟิเดาะฮฺ!!!
ชาวรอฟิเดาะฮฺนั้นมักจะกีดกันคนอื่นๆที่ไม่เกี่ยวข้องกับท่านอะลีออกไปเสียจากตำแหน่งอะฮฺลุลบัยตฺ หรือแม้แต่ลูกของท่านอะลีที่มิได้เกิดจากท่านหญิงฟาตีมะฮฺชีอะฮฺก็ตัดทิ้งไปเสียหมด จนอะฮฺลุลบัยตฺในแบบฉบับชาวชีอะฮฺทั้งโลกเหลือเพียงไม่กี่คน เมื่อเรากล่าวว่าภรรยาของนบีก็คืออะฮฺลุลบัยตฺ ชาวรอฟิเดาะฮฺก็มักจะเถียงหัวชนฝา ทั้งๆที่การนับภรรยาของนบีเป็นอะฮฺลุลบัยตฺนั้นคือการนับแบบอัลกุรอานด้วยซ้ำ
เช่น เหตุการณ์ที่พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงกล่าวถึง ซาเราะห์ภรรยาของนบีอิบรอฮีม อลัยฮิสสลาม ที่ตกตะลึงเมื่อทราบข่าวว่าจะมีบุตร ขณะที่ตัวนางเองก็อายุมากแล้ว อีกทั้งนบีอิบรอฮีมก็แก่หง่อมอีกด้วย แต่มะลาอิกะห์ที่พระองค์อัลลอฮ์ให้มาแจ้งข่าวได้กล่าวแก่นางว่า
أَتَعْجَبِيْنَ مِنْ أَمْرِ اللهِ رَحْمَتُ اللهِ وَبَرَكاَتُهُ عَليْكُمْ أَهْلَ البَيْتِ
“เธอแปลกใจต่อบัญชาของอัลลอฮ์หรือ ความเมตตาและความจำเริญของพระองค์จงประสบแด่นางซาเราะฮฺ อะฮฺลุลบัยตฺของนบี (อิบรอฮีม) ซูเราะห์ฮุด อายะห์ที่ 73
ในขณะที่หะดีษ อัซซะกอลัยนฺ ที่ปรากฏอยู่ในซอเฮี๊ยฮฺมุสลิมเกี่ยวกับคำสั่งเสียเรื่องอะฮฺลุลบัยตฺก็ระบุชัดเจนว่า
نِسَاؤُهُ مِنْ أهْلِ بَيْتِهِ
บรรดาภรรยาของท่านนบีก็เป็นอะฮฺลุลบัยตฺของท่านนบีด้วย
نِسَاؤُهُ مِنْ أهْلِ بَيْتِهِ
บรรดาภรรยาของท่านนบีก็เป็นอะฮฺลุลบัยตฺของท่านนบีด้วย
บันทึกโดยอิหม่ามมุสลิม ฮะดีษเลขที่ 4425
อีกทั้งอะฮฺลุลบัยตฺยังประกอบไปด้วย
วงศ์วานของอาลี, วงศ์วานของอะกี้ล, วงศ์วานของญะอ์ฟัร และวงศ์วานของอับบาส ฮุศอยน์ถามว่า คนเหล่านี้ถูกห้ามรับซะกาตอย่างนั้นหรือ เขาตอบว่า ถูกต้องแล้ว” บันทึกโดยอิหม่ามมุสลิม ฮะดีษเลขที่ 4425
อีกทั้งตัวของท่านอะลีเองยังมีลูกอีกมากมาย ที่เกิดจากภรรยาท่านอื่นๆซึ่งบุตรของท่านมีชื่อทั้งอบูบักร อุมัร และอุสมานด้วยซ้ำไป!!! แต่ถามว่าอะฮฺลุลบัยตฺเหล่านี้ ไปอยู่ที่ใดในแนวทางของรอฟิเดาะฮฺ ทำไมท่านเหล่านี้จึงไม่ได้รับการยกย่องให้เป็นอิมาม และสมควรแล้วที่จะบอกว่ารอฟิเดาะฮฺอธรรมต่ออะฮฺลุลบัยตฺ อีกทั้งอะฮฺลุลบัยตฺในมิติที่พวกรอฟิเดาะฮฺยกย่องนั้นหาใช่อะฮฺลุลบัยตฺของท่านนบี แต่เป็นความคลั่งไคล้ในครอบครัวบางส่วนของท่านอะลีเท่านั้น!!!! คลั่งไคล้ถึงขนาดสอนสั่งกันว่าท่านนบีมีลูกสาวคนเดียวคือท่านหญิงฟาตีมะฮฺ !!! ซึ่งเท่ากับเป็นการฝังลูกสาวของท่านนบีให้หายไปจากประวัติศาสตร์โลก หรือฆ่าทั้งเป็น จะมีความชั่วใดเลวร้ายกว่านี้อีก!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
วงศ์วานของอาลี, วงศ์วานของอะกี้ล, วงศ์วานของญะอ์ฟัร และวงศ์วานของอับบาส ฮุศอยน์ถามว่า คนเหล่านี้ถูกห้ามรับซะกาตอย่างนั้นหรือ เขาตอบว่า ถูกต้องแล้ว” บันทึกโดยอิหม่ามมุสลิม ฮะดีษเลขที่ 4425
อีกทั้งตัวของท่านอะลีเองยังมีลูกอีกมากมาย ที่เกิดจากภรรยาท่านอื่นๆซึ่งบุตรของท่านมีชื่อทั้งอบูบักร อุมัร และอุสมานด้วยซ้ำไป!!! แต่ถามว่าอะฮฺลุลบัยตฺเหล่านี้ ไปอยู่ที่ใดในแนวทางของรอฟิเดาะฮฺ ทำไมท่านเหล่านี้จึงไม่ได้รับการยกย่องให้เป็นอิมาม และสมควรแล้วที่จะบอกว่ารอฟิเดาะฮฺอธรรมต่ออะฮฺลุลบัยตฺ อีกทั้งอะฮฺลุลบัยตฺในมิติที่พวกรอฟิเดาะฮฺยกย่องนั้นหาใช่อะฮฺลุลบัยตฺของท่านนบี แต่เป็นความคลั่งไคล้ในครอบครัวบางส่วนของท่านอะลีเท่านั้น!!!! คลั่งไคล้ถึงขนาดสอนสั่งกันว่าท่านนบีมีลูกสาวคนเดียวคือท่านหญิงฟาตีมะฮฺ !!! ซึ่งเท่ากับเป็นการฝังลูกสาวของท่านนบีให้หายไปจากประวัติศาสตร์โลก หรือฆ่าทั้งเป็น จะมีความชั่วใดเลวร้ายกว่านี้อีก!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น